วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

บันทึกครั้งที่ 3

Recent Posts 

Science Experiences Management For Early Childhood

5   September 2014


Time 13.00 pm. to 16.00  pm.


                # knowledge


*พัฒนาการ เป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง

*การจัดการเรียนรู้  จะเริ่มตั้งเเต่เด็กเเรก-3 ปี  


ทำไมต้องมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง 
 เพราะมีต่อขั้นตอนต่อไปในลำดับขั้นพัฒนาการ

การอบรมเลี้ยงดูมีผลต่อพัฒนาการ
ลักษณะพัฒนาการ มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้เเก่
ด้านร่างกาย -กล้ามเนื้อมัดใหญ่  เกิดจากาการทำงานของประสาททั้ง 5
กล้ามเนื้อมัดเล็ก ใช้นิ้วมือกับตาใช้ในการเขียนหนังสือด้านอาร์มณ์-จิตใจ - ความรู้สึก
การกล้าเเสดงออก / การรับรู้ความสุขของคนอื่น
ด้านสังคม - การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น/ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ด้านสติปัญญา - ความคิด / ภาษา
                           ความคิด  คิดเชิงเหตุผล เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จะสัมพันธ์กับสมอง

"สมอง" ทำงานในการเกิดการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การที่เด็กเล่นซุกซน
ความรู้ใหม่ + ความรู้เดิม =  เกิดการเรียนรู้ 
"การเรียนรู้"  คือ การแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
"การรับรู้"   การที่เขารับเข้ามาในตัวเขา
 "พัฒนาการ" ตั้งเเต่เเรกเกิด-2 ปี โดยผ่านพฤติกรรมประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรียกว่า ขั้นประสาทสัมผัสซึมซับ อายุ 4 -6 ปี ก็ยังใช้อยู่เเต่ตัวที่มันเด่นๆคือ การสื่อภาษา จะุเริ่มใช้ในช่วงอายุ 4-6 ปี เป็นช่วงซึมซับ
 "การเรียนรู้" เพื่อให้เด็กเกิดการรับรู้เพื่อจะให้เกิดการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรม สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ไปนานๆ
พัฒนาการเป็นตัวบ่งชี้บอกถึงพฤติกรรม ว่าเด็กทำอะไรได้บ้างในช่วงอายุนั้น

คุณษณะตามวัย  (พัฒนาการ) มันเป็นตัวเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 
1.พัฒนาการ 
2.คุณลักษณะตามวัย
3.ธรรมชาติ

"การเรียนรู้" คือ การเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรม
"วิธีการเรียนรู้" การลงมือกระทำด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทั้งเป็นทางการเเละไม่เป็นทางการ
"เครื่องมือ"ประสาทสัมผัสทั้ง 5 มือ หู ตา จมูก ปาก

พัฒนาการที่แตกต่างกัน  สิ่งเเวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู เพศ

วิทยาศาสตร์ ชีวิภาพ+กายภาพ = การทดลอง การตอกไข่ สาระทีได้ คือ ทักษะการวิทยาศาสตร์ การทดลอง การคาดเน  การสังเกตผ่านความร้อนของการนำไข่ไปทอด

การสังเกตและการใช้คำถาม

*วิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่อยู่รอบๆๆตัวเรา คนเรามักจะมีความสัมพันธ์กับวิทยาสตร์เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา สามารถมาวิเคราะห์ด้วยตนเอง วิทยาศาสตร์ผ่านชีวิภาพ วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์ชีวิภาพ ฟิสิกท์ *





สรุป  บทความ

  สื่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนพัฒนาเด็กได้มากกว่าที่คิด
  โดย: ดร. สิทธิพร เอี่ยมเสน     รองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

       ในตอนวัยเด็ก นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน และช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แล้ว พวกเราเด็กๆ ก็มักจะมีเวลาว่างมากเพียงพอที่จะสำรวจธรรมชาติที่อยู่รอบๆ บ้าน หรือบริเวณหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ทุ่งหญ้า ทุ่งนา ป่าหญ้าคา และ อื่นๆ เราสนุกสนานกับการที่ได้ปีนป่ายต้นไม้ใหญ่ นั่งเล่นอยู่บนต้นไม้นั้นเป็นเวลานานๆ ได้เห็นความเป็นอยู่ของเหล่านกใหญ่น้อยทั้งหลาย ที่อาศัยกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่นี้เป็นที่กำบังจากภัยต่างๆ บ้างก็สร้างรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่นี้ หลายครั้งที่พวกเราก็แกล้งมัน พอพวกเราส่งเสียงดัง หรือขว้างปาวัตถุเข้าไปใส่ต้นไม้ ฝูงนกก็แตกฮือบินหนีไปคนละทิศคนละทางด้วยความตกใจ แต่พวกเรากลับหัวเราะอย่างสนุกสนาน บางครั้งเราก็ปีนต้นไม้เพื่อที่จะไปให้ถึงรังของนก เราอยากจะเห็นบ้านที่อยู่ของนก อยากจะเห็นไข่ หรือลูกเล็กๆ ของมัน ในขณะที่เราใกล้จะถึง เราจะได้ยินเสียงพ่อ แม่ของลูกนกส่งเสียงร้องอย่างดัง ราวกับจะบอกให้เรารู้ว่า อย่าเข้าใกล้หรือทำอันตรายสิ่งที่เขารักและห่วงแหนมากที่สุด 

สิ่งแวดล้อมธรรมชาติให้ประโยชน์อย่างไรกับพัฒนาการของเด็ก

         ธรรมชาติล้อมรอบตัวเด็กนั้น จัดได้ว่าเป็นการขยายห้องเรียนให้กับนักเรียนของเรา นักเรียนจะได้มีโอกาสเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสในทุกๆ ด้าน และครอบคลุมทุกๆ แขนงของหลักสูตร ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเด็ก ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนเป็นบทเรียนและแบบฝึกหัดที่มีประโยชน์โดยตรงต่อทั้งตัวเด็ก และครูผู้สอน  เด็กนักเรียนในระดับปฐมวัยสามารถใช้เวลานอกห้องเรียนในการเรียนรู้ธรรมชาติในโรงเรียนและชุมชน ได้ถึง ๑ ใน ๔ ของเวลาที่ต้องใช้ที่โรงเรียน นอกจากนักเรียนจะได้ความรู้จากหลากหลายกิจกรรมที่ครูสามารถให้นักเรียนเข้าไปมีส่วนร่วมแล้ว กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีความรู้สึกรัก รับผิดชอบและเป็นเจ้าของธรรมชาตินั้นๆ เป็นการพัฒนาในระดับปัจเจกบุคคล ที่มีผลต่อการพัฒนาในระดับชุมชน ระดับชาติ และระดับโลก ต่อไป และยังส่งผลในเรื่องสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชนอีกด้วย เด็กได้พัฒนาและเรียนรู้ทักษะเพื่อการดำรงชีพของตนเองไปตลอดชีวิต (Life-Long Skills) เช่น การปลูกและทำนุบำรุงรักษาต้นไม้ การปลูกดอกไม้ ผัก และผลไม้ต่าง ๆ เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม ใช้ภาษาที่เหมาะสมในการสื่อสารกับสมาชิกในกลุ่ม พัฒนาความเชื่อมั่น และความศรัทธาในตนเอง

เกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ๆ ในทุกวันนี้

        ในอดีตเด็กๆ เคยได้รับความสุขสนุกสนานกับการที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และสัมผัสกับธรรมชาติมากกว่าในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินบนทางเดินเท้า ถนนหนทาง พื้นที่ว่าง สวนสาธารณะ ทุ่งนา ป่าเขา ลำธาร พวกเขาเคยได้สำรวจ เคยเล่น และสัมผัสกับโลกธรรมชาติ โดยปราศจากข้อห้ามหรือการตรวจสอบใดๆ หรือจะมีบ้างก็เพียงเล็กน้อย แต่เด็กๆ ในปัจจุบัน แทบจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย โดยเฉพาะเด็กๆ ในชุมชนเมือง การเล่นกับธรรมชาติอย่างเสรี จะมีแต่ข้อห้าม หรือมีโอกาสก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขอบเขตการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจถูกจำกัดและลดลง

เราจะช่วยเด็กกันได้อย่างไร

        เนื่องจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กในทุก ๆ ด้าน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เราก็ควรที่จะดำเนินการใดๆ ที่ จะก่อให้เกิดผลดังกล่าว ในต่างประเทศ มีองค์กรเครือข่ายที่ใช้ชื่อว่า The Children & Nature Network (C&NN) ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการเป็นสื่อกลางระหว่างเด็กกับธรรมชาติ ให้ข้อมูล ข่าวสารและรายงานผลการวิจัย เพื่อกระตุ้นและสนับสนุน พร้อมทั้งเป็นเครือข่าย ให้ประชาชนและองค์กรต่างๆ พัฒนากิจกรรมให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ นอกจากนั้น ยังได้ทำงานร่วมกับนักวิจัย นักการศึกษา และองค์กรอื่นๆ ที่อุทิศตนเพื่อให้เด็กมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น